Korea โมเดล สินค้าออกของเกาหลีใต้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
มีนาคม 2555
เมื่อนึกถึงเกาหลีใต้ในปัจจุบัน เราอาจนึกถึงละครซีรีส์
เสื้อผ้าแฟชั่นเกาหลี
และเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สัญชาติเกาหลีที่กำลังได้รับ
ความนิยมในไทย แต่หากมองย้อนกลับไปในยุคทศวรรษ 1960
จะพบว่าเกาหลีใต้เป็นเพียงประเทศเกษตรกรรมที่ยากจน
ด้วยระดับรายได้ประชาชาติ 87 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนในปี 2505
(ค.ศ.1962) เท่านั้น แต่ได้ก้าวกระโดดขึ้นสู่ระดับสูงกว่า
10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อคนในปี 2538 (ค.ศ.1995) หรือภายในเวลา 33 ปี
ด้วยความน่าสนใจดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
ได้ศึกษาถึงพัฒนาการของความสำเร็จของเกาหลีใต้ และบทเรียนที่ธุรกิจ SMEs
ไทยน่าจะสามารถนำมาปรับใช้ได้ ซึ่งพบว่ามีประเด็นสำคัญดังนี้
ภาคอุตสาหกรรมเติบโตก้าวกระโดด ... จากผู้รับเทคโนโลยี สู่ผู้พัฒนาเทคโนโลยี
หัวใจสำคัญของพัฒนาการของภาคอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ คือ “การพัฒนาแบบย้อนรอย” ของ
กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ (แชโบล) กล่าวคือ
แทนที่จะเป็นการ “วิจัย – พัฒนา – วิศวกรรม” (Research – Development – Engineering) กลับเป็น “
วิศวกรรม – พัฒนา – วิจัย”
กล่าวคือ เกาหลีใต้เริ่มทำการผลิต (วิศวกรรม)
โดยใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูปของต่างชาติก่อน
แล้วจึงพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีที่ได้รับมานั้น
และสุดท้ายจึงทำการวิจัยเพื่อสร้างนวัตกรรมเป็นของตนเอง
ด้วยวิธีการดังกล่าวนับเป็นทางลัดที่สำคัญของเกาหลีใต้ที่ทำให้สามารถพัฒนา
ภาคอุตสาหกรรมได้ในเวลาอันสั้น
จนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีชาติหนึ่งของโลกในปัจจุบัน
โดยอุตสาหกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ เทคโนโลยี
การผลิตจอภาพ (Display)
ซึ่งใช้ในโทรทัศน์จอแบนและเครื่องมือสื่อสาร
ทั้งนี้
ลำพังเพียงการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูปนั้นมิอาจทำให้เกาหลีใต้ผงาดขึ้นเป็น
ประเทศอุตสาหกรรมแนวหน้าของโลกได้เช่นปัจจุบัน แต่เส้นทางการ
พัฒนาของเกาหลีใต้ยังประกอบไปด้วยอีกหลายปัจจัยที่คอยสนับสนุน
อันได้แก่
ภาครัฐบาล ซึ่งมีบทบาทสูงโดยเฉพาะในยุค 1960 ต่อเนื่องถึงยุค 1970 ด้วยการ
สร้างแชโบล
และให้การสนับสนุนแชโบลในหลายด้าน เช่น เงินอุดหนุนพิเศษ
เพื่อให้แชโบลมีเงินทุนเพียงพอทั้งในการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อการประหยัดต่อ
ขนาด และเพื่อการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการ
วางนโยบายที่มีผลต่อการพัฒนาแชโบลในระยะต่อๆ มา เช่น
การเพิ่มงบประมาณทางการศึกษาใน
ทุกระดับชั้น
ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานความรู้ที่แข็งแกร่งแก่ประชากรของประเทศ
และได้กลายเป็นทรัพยากรอันมีค่าในระยะของการพัฒนาและการวิจัยเมื่อแชโบ
ลต่างๆ ได้ก้าวผ่านระยะของการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูป นอกจากนั้น ยังได้
กำหนดนโยบายมุ่งเน้นการส่งออก
ซึ่งมีอิทธิพลต่อแชโบลต่างๆ โดยอาศัยเงื่อนไขด้านเงินอุดหนุน
รวมถึงสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลกับแชโบล
เพื่อให้แชโบลได้พยายามผลักดันการเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตในเวลา
อันสั้น นอกจากนั้น อีกปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของเกาหลีใต้ ได้แก่
ปัจจัยด้านสังคมและวัฒนธรรม
โดยสงครามเกาหลีในปี 2493 – 2496 (ค.ศ. 1950-1953)
ทำให้เกิดการหลอมรวมกันทางสังคมขึ้นจากการที่คนหนุ่มสาวต้องร่วมรับรู้
ประสบการณ์สงครามร่วมกันเป็นเวลานาน และเมื่อสงครามสิ้นสุด
เกาหลีใต้ก็สามารถแปรความเสียหายย่อยยับจากสงครามเกาหลี
เป็นความมุ่งมั่นสู่การพัฒนาประเทศ
ซึ่งสอดรับกับนิสัยขยันขันแข็งและหมั่นแสวงหาความรู้ของคนเกาหลีใต้
ฟื้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง … ด้วยกระแสวัฒนธรรมเกาหลี
เส้นทางการพัฒนาของเกาหลีใต้ต้องสะดุดลงอีกครั้งในปี 2540
(ค.ศ.1997) จากวิกฤติเศรษฐกิจในเอเชียที่กระทบต่อภาคการเงินของเกาหลีใต้
อย่างรุนแรงจนต้องขอรับความช่วยเหลือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
โดยภายหลังวิกฤต เกาหลีใต้ได้จัดตั้ง
องค์การวัฒนธรรมและสารัตถะเกาหลี (Korea Culture and Content
Agency – KOCCA) ขึ้นในปี 2544 (ค.ศ.2001)
เพื่อส่งเสริมให้วัฒนธรรมเกาหลีเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ มากขึ้น
เนื่องจากวัฒนธรรมเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สามารถนำรายได้เข้าประเทศ
ได้โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนมากและสามารถสร้างอิทธิพลในต่างแดนได้โดยไม่ต้อง
เผชิญการต่อต้านด้านการเมืองการปกครอง โดยภารกิจของ KOCCA คือ
การส่งเสริมให้เนื้อหาสาระความเป็น
ชาติเกาหลี หรือ Korea Content สอดแทรกลงไปในสื่อบันเทิงต่าง ๆ
ของเกาหลีที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ภาพยนตร์ เกม ศิลปะ และดนตรี
เป็นต้น นอกจากนั้น ยังมีการสร้างและ
พัฒนาบุคลากรให้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการผลิตสื่อต่างๆ
รวมไปถึงการทำการตลาดและการผลักดันการส่งออกวัฒนธรรมควบคู่ไปด้วย
ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวนับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในเอเชีย
ดังเห็นได้จากความนิยมในภาพยนตร์ เพลง และละครเกาหลีที่แผ่ขยายไปทั่วเอเชีย
ความสำเร็จของเกาหลีเป็นแบบอย่างการพัฒนา
(Model) ของประเทศกำลังพัฒนา
เมื่อมองย้อนไปถึงเส้นทางการพัฒนาของเกาหลีใต้
ตั้งแต่ยุคหลังสงครามเกาหลี (ทศวรรษ 1960) จนถึงปัจจุบันจะเห็นได้ว่า
ยุคต่างๆ
ในการพัฒนาของเกาหลีใต้เป็นไปในลักษณะของการผสมผสานกันระหว่างกลยุทธ์หลาย
รูปแบบ เริ่มตั้งแต่
ยุคแรกที่เป็นการ
ใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูปด้านอุตสาหกรรมจากทั้งญี่ปุ่นและสหรัฐฯ เพื่อเป็นการ
“เรียนทางลัด” สู่การฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็เร่ง
ลงทุนด้านการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาขั้นต่อไป ซึ่งได้ถูกนำออกมาใช้ใน
ระยะที่สองซึ่งเป็นช่วงที่เทคโนโลยีสำเร็จรูปถูกใช้
จนเต็มศักยภาพ ทำให้เกิดการต้องเร่งเรียนรู้เทคโนโลยีที่รับการถ่ายทอดมา โดยอาศัยพื้นฐานการศึกษาที่สั่งสมไว้
1 หลังจากเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว จึงเข้าสู่
ระยะที่สาม
คือการคิดค้น
และพัฒนาขึ้นเอง
ดังเช่นการที่บริษัทเกาหลีใต้บางบริษัทสามารถเป็นผู้นำของโลกในบาง
อุตสาหกรรมได้ เช่น โทรทัศน์จอแบน โดยเป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลังๆ
โดยเฉพาะหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 (ค.ศ.1997) เกาหลีใต้เริ่ม
พัฒนาจากการมุ่งเน้นภาคอุตสาหกรรม สู่การเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ผสมผสานการตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ขณะเดียวกัน
ก็มีการพัฒนา
อุตสาหกรรมวัฒนธรรมเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศอย่างจริงจังอีกด้วย
จากแบบอย่างความสำเร็จของเกาหลีใต้ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วดังกล่าว
ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียหลายประเทศกำลังพยายามยึดเกาหลีใต้
เป็นต้นแบบการพัฒนาในแง่ของการส่งเสริมวัฒนธรรม เช่น กัมพูชา
เวียดนาม อินโดนีเซีย และบังคลาเทศ
โดยเฉพาะเวียดนามที่มีความสนใจเป็นพิเศษจนกระทั่งมีการส่งข้าราชการไปดูงาน
ในเกาหลีใต้หลายครั้ง ขณะเดียวกัน ในประเทศไทย
ก็เริ่มมีการเติบโตของกลุ่มบรรษัทเอกชนขนาดใหญ่ในแบบของ “แชโบล” เช่นกัน
ถอดบทเรียนที่อาจปรับใช้เพื่อการพัฒนาของธุรกิจ
SMEs ในไทย
1.
ผู้ผลิตในเกาหลีใต้ไม่หยุดนิ่งอยู่กับการใช้เทคโนโลยีสำเร็จรูป
หากแต่มีความกระตือรือร้นที่จะก้าวสู่การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นของตนเอง
ซึ่งผู้
ประกอบการ SMEs
ไทยอาจเริ่มโดยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเป็นบางส่วน เช่น
พัฒนาประสิทธิภาพการผลิต OEM
ที่เคยรับจ้างผลิตให้ประหยัดต้นทุนการผลิตมากขึ้น
จากนั้นจึงพัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเองต่อไป โดยในปัจจุบัน
มีหลายหน่วยงานภาครัฐที่คอยสนับสนุน เช่น
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ซึ่งมีการจัดโครงการพัฒนาศักยภาพ
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่างๆ อยู่เป็นระยะ นอกจากนั้น
ในส่วนของเงินทุน ผู้ประกอบการมีหลายทางเลือก
ทั้งสถาบันการเงินของเอกชนและรัฐบาล ซึ่งต่างก็มีการนำเสนอบริการทางการเงิน
ควบคู่กับบริการให้คำปรึกษาทางการเงิน
2.
ภาคอุตสาหกรรมเกาหลีใต้มีการใช้ประโยชน์จากพื้นความรู้ของแรงงานค่อนข้างมาก
ซึ่งสะท้อนความสำคัญของการศึกษา ต่อการพัฒนาของภาคอุตสาหกรรม
ซึ่งในกรณีของผู้ประกอบการ SMEs
ไทยอาจไม่สามารถลงทุนด้านการศึกษาของแรงงานได้ด้วยตนเอง
(ซึ่งต่างจากผู้ผลิตรายใหญ่ที่สามารถสร้างสถาบันอบรมเทคนิคเฉพาะทางได้)
อย่างไรก็ดี
ผู้ประกอบการอาจส่งแรงงานเข้าร่วมการฝึกอบรมที่จัดโดยหน่วยงานเครือข่าย
ของกระทรวงอุตสาหกรรม เช่น สถาบันเหล็กและเหล็กกล้า สถาบันไฟฟ้าและ
อิเล็กทรอนิกส์ สถาบันไทย-เยอรมัน เป็นต้น
ซึ่งมีการจัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีอยู่เป็นระยะๆ
3. ภาคอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับการทำการตลาดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตราสินค้า
ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจได้มาก
โดยปัจจุบัน
มีตราสินค้าของเกาหลีใต้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 2 รายที่อยู่ใน 100
อันดับแรกของโลก (จากการจัดอันดับมูลค่าเพิ่มตราสินค้าโดย Millward Brown
ปี 2554) และยังมีตราสินค้ายานยนต์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก
ซึ่งจากแบบอย่างดังกล่าว ผู้ประกอบการ SMEs
ไทยอาจนำเอาแนวคิดด้านตราสินค้ามาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนในส่วนที่
อยู่นอกเหนือการผลิตตามคำสั่ง (OEM)
เพื่อสร้างความแตกต่างจากผู้ผลิตรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
4. รัฐบาลเกาหลีใต้มีบทบาทมากในระยะเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมในเกาหลีใต้ ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเกาหลีใต้เติบโตแข็งแกร่งตราบจนปัจจุบัน
1) ในด้านการสนับสนุน
รัฐบาลเกาหลีใต้สนับสนุนอย่างเต็มที่ในปัจจัยที่จำเป็นต่อการพัฒนา
ที่ภาคเอกชนไม่สามารถจัดหามาได้ด้วยตนเอง เช่น
จัดสรรเงินทุนสำหรับการพัฒนาและการวิจัยของ แชโบลในระยะเริ่มต้น
หรือการลงทุนขยายการศึกษาทั่วประเทศเพื่อสร้างฐานความรู้ให้กับประชากรของ
ประเทศ ซึ่งกลายเป็นแรงงานที่มีคุณภาพให้แก่แชโบลต่างๆ ในระยะถัดไป
2) ในด้านการสร้างแรงท้าทาย
รัฐบาลเกาหลีใต้มีการสร้างเงื่อนไขที่ท้าทายให้แชโบลต้องเร่งพัฒนาตนเองอยู่
เสมอ โดยใช้เงื่อนไขจูงใจด้านเงินอุดหนุน
หรืออาศัยสายสัมพันธ์ใกล้ชิดที่มีต่อกันในการกำหนดแนวทาง เช่น ในปี 2516
(ค.ศ.1973)
รัฐบาลได้ให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เกาหลีเสนอแผนการผลิตรถยนต์ต่อรัฐบาล
โดยต้องเป็นรถยนต์ที่ออกแบบใหม่ ขนาดเครื่องยนต์
เล็กกว่า 1,500 ซีซี และใช้ชิ้นส่วนในประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยละ
95 ด้วยต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
และมีกำลังการผลิตไม่ต่ำกว่า 50,000 คัน/ปี โดยจะต้องออกจำหน่ายภายในปี
2518 (ค.ศ.1975)
ซึ่งในครั้งนั้นทำให้บริษัทหนึ่งเกิดการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี
โดยสามารถเสนอแผนผลิตรถยนต์ที่กำลังการผลิต 80,000 คัน/ปี จากเดิมที่ในขณะ
นั้นผลิตได้เพียง 5,436 คัน/ปีเท่านั้น2
เมื่อเทียบเคียงกับสถานการณ์ของ SMEs ไทย พบว่า
ส่วนใหญ่รัฐบาลไทยยังมีบทบาทเป็นการช่วยเหลือด้านเงินทุน
และมาตรการในยามเกิดปัญหาหรือวิกฤต เช่น ผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ
ผลกระทบจากอุทกภัย แต่มาตรการในการพัฒนา SMEs
ให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีของตนเองยังมีน้อย ดังนั้น
เพื่อเกื้อหนุนการเติบโตของธุรกิจ SMEs ไทยให้พัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
ภาครัฐจึงควรมีบทบาทที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา สำหรับ
บทบาทเฉพาะหน้า
นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มไม่สดใสนักจากผลกระทบของการชะลอตัวใน
เศรษฐกิจโลก อีกทั้งยังมีผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยเมื่อปลายปี 2554
ซึ่งกระทบต่อสภาวะการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ
SMEs อย่างมาก โดยภาครัฐอาจช่วยเหลือในด้านเงินทุนเพื่อพัฒนา
SMEs ด้วยการจัดตั้งกองทุนพิเศษเพื่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย
สำหรับ
บทบาทในระยะยาว ควรสร้างแผนปฏิบัติการและผลักดันให้ได้รับการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ทั้งในด้านการอุดหนุนส่งเสริมในปัจจัยที่ SMEs ไม่สามารถลงทุนด้วยตนเองได้
เช่น ในด้านเงินกู้เพื่อพัฒนานวัตกรรม
การจัดตั้งสถาบันวิจัยที่สามารถทำหน้าที่เป็นที่พึ่งพิงด้านเทคโนโลยีแก่
SMEs ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ และการลงทุนด้านการศึกษาของแรงงานในระดับประเทศ
ขณะเดียวกันภาครัฐก็ควรสร้างแรงผลัก
ดันให้ธุรกิจ SMEs เกิดการพัฒนาออกนอกกรอบความสำเร็จเดิมๆ เช่น
การวางเป้าหมายการพัฒนาด้านนวัตกรรมเพื่อแลกกับสิทธิประโยชน์เช่นด้านภาษี
หรือเงินอุดหนุน เป็นต้น นอกจากนั้น ภาครัฐควรเร่งส่งเสริมธุรกิจ SMEs
ทางเลือกที่ไทยมีศักยภาพ
ที่นอกเหนือจากอุตสาหกรรมหลักที่ต่างชาติลงทุนในไทย เช่น
พลังงานชีวภาพชีวมวล อุตสาหกรรมการเกษตร และ
อุตสาหกรรมอาหาร
ซึ่งเป็นการช่วยสร้างรากฐานด้านเทคโนโลยีแก่ธุรกิจ SMEs
ไทยในอุตสาหกรรมที่เหมาะสมกับทรัพยากรที่ไทยมีและเพื่อเป็นการปรับตัวต่อแนว
โน้มการกระจายฐานการผลิตของญี่ปุ่นในอุตสาหกรรมหลัก เช่น อิเล็กทรอนิกส์
ยานยนต์ เหล็กและโลหการที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไปด้วย
คลิกเพื่อลงทุน
--------------------------------------------
1
โดยตัวอย่างได้แก่การที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้ได้สั่งให้วิศวกรถอดประกอบรถยนต์ต้นแบบเพื่อศึกษาเทคโนโลยีที่รับถ่ายทอดมา
2
บัญชา ธนบุญสมบัติ. เกาหลีใต้
"ก้าวหน้า" และ "ก้าวพลาด" อย่างไร ในการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม?
นิตยสารสารคดี ปีที่ 15 ฉบับที่ 179 มกราคม 2543. 74-87
ป้ายกำกับ: ลงทุน